วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2564
Mechanics of Reinforced Concrete Beam Section - กลไกของหน้าตัดคานคอนกรีตเสริมเหล็ก (EP-3) - คำนวณกำลังหน้าตัด ULS
วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564
Mechanics of Reinforced Concrete Beam Section - กลไกของหน้าตัดคานคอนกรีตเสริมเหล็ก (EP-2) - คำนวณกำลังหน้าตัด SLS
บทนำ
บทความนี้เรามาลองคำนวณกำลังของหน้าตัดคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยจะลองคำนวณเปรียบเทียบกันใน 3 สถานะ คือ
1. หน้าตัดคอนกรีตล้วน
2. หน้าตัดคอนกรีตเสริมเหล็ก แบบไม่แตกร้าว
3. หน้าตัดคอนกรีตเสริมเหล็ก แบบแตกร้าว
หน้าตัดคอนกรีตล้วน
หน้าตัดคอนกรีตเสริมเหล็ก ( ไม่แตกร้าว )
จะเห็นว่าเหล็กเสริมช่วยให้หน้าตัดก่อน crack มีกำลังเพิ่มขึ้น 17.5% จากหน้าตัดคอนกรีตล้วนที่วิบัติด้วยแรงดึง แต่ยังมีค่าเพียง 30% ของกำลังที่ควรจะทำได้ของหน้าตัด
หน้าตัดคอนกรีตเสริมเหล็ก ( แตกร้าว )
สรุป
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564
Mechanics of Reinforced Concrete ฺBeam Section - กลไกของหน้าตัดคานคอนกรีตเสริมเหล็ก (EP-1)
บทนำ
บทความนี้นำเสนอกลไกการทำงานของหน้าตัดคอนกรีตเสริมเหล็ก ซึ่งเป็นการนำวัสดุสองประเภทมาใช้งานร่วมกันเพื่อให้คุณสมบัติโดยรวมดีขึ้น ในกรณีนี้เรามีคอนกรีตและเหล็ก คอนกรีตรับแรงอัดได้ดีมีราคาถูก แต่มีข้อด้อยกคือรับแรงดึงได้ต่ำมาก ส่วนเหล็กรับแรงได้ดีทังแรงอัดและแรงดึงมีกำลังสูงกว่าคอนกรีตมาก แต่ราคาก็แพงกว่าคอนกรีตมาก
ถ้ามองในมุมของกำลังของหน้าตัดแล้ว แนวคิดในการใช้งานคอนกรีตเสริมเหล็กคือ ใช้เหล็กเข้ามาช่วยรับแรงดึงในหน้าตัด จะช่วยให้หน้าตัดรับแรงได้มากขึ้น
หรือถ้ามองในมุมของราคา เรานำคอนกรีตเข้ามาแทนที่ส่วนที่รับแรงอัดในหน้าตัด คิดง่า่ยๆว่าเรามีหน้าตัดเหล็กล้วน เอาครึ่งหนึ่งออกไปแล้วแทนที่ด้วยคอนกรีตซึ่งมีราคาถูกกว่าเหล็กอย่างน้อย 10 เท่า ก็จะทำให้หน้าตัดของเรามีราคาถูกลงมาก
พฤติกรรมของหน้าตัดคอมโพสิท
พฤติกรรมของวัสดุ
stress - strain curve of steel |
สรุป
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2564
การคำนวณ - Deflection curve from BMD
โดยสุดท้ายจะมีการคำนวณเปรียบเทียบระหว่างค่าที่ได้จากวิธีการที่นำเสนอ กับค่าที่ได้จากสูตรสำเร็จตามภาพด้านล่างนี้
เริ่มคำนวณ
พิจารณาคาน simple beam ยาว 6 ม. รับน้ำหนัก 10 kN/m กำหนดให้ค่า E=200GPa ,I=16000cm^4การคำนวณ - ด้านเสถียรภาพของกำแพงกันดินแบบ L
รูปแบบการวิบัติ
- Overturning : ป้องกันโดยคอนโทรลให้ตำแหน่ง Resultant Force อยู่ในระยะบวกลบ B/4 จากศูนย์กลางฐานรากกรณีฐานรากวางบนดิน หรือ บวกลบ 3B/8 สำหรับกรณีฐานรากวางบนหิน (หรือคอนโทรล F.S. ไม่น้อยกว่า 1.5 สำหรับการเช็คที่ service load โดยที่ F.S. = Mstabilize/Mdrive )
- Bearing Capacity : ป้องกันโดยไม่ให้หน่วยแรงอัดใต้ฐานเกินหน่วยแรงแบกทานที่ยอมให้ของดินใต้ฐาน การคิดหน่วยแรงกดใช้วิธี effective area (Be = B-2*e) ซึ่งจะได้เป็นหน่วยแรงแบบ Equivalent uniform pressure ใช้ในการตรวจสอบ Bearing capacity และการทรุดตัว เท่านั้น ( ส่วนการออกแบบตัวฐานรากให้คิดการกระจายแรงโดยการรวมหน่วยแรงปกติ คือ Stress = P/A + MC/I )
- Sliding : ป้องกันโดยไม่ให้แรงดันด้านข้างมีค่ามากกว่าแรงเสียดทานใต้ฐาน ใช้ Reduction Factor 0.80 สำหรับดินทราย 0.85สำหรับดินเหนียว (หรือให้ F.S. มีค่าไม่น้อยกว่า 1.5 สำหรับการเช็คที่ service load โดยที่ F.S. = Fstabilize/Fdrive )
แรงที่มากระทำ
- dead load (DC) : คิดตามหน่วยน้ำหนักวัสดุ
- vertical earth pressure (EV) : คิดตามหน่วยน้ำหนักวัสดุ ประมาณ 1.8-2.0 ตัน/ตร.ม.
- lateral earth pressure (EH) : ในการเช็คเสถียรภาพให้ใช้ Active Earth Pressure Coefficient (ka)
- live load surcharge (LSV ,LSH) : น้ำหนักจรใช้ค่า 0.5-1.0 ตัน/ตร.ม. ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน
- wind load (if any) (W) : กรณีมีกำแพงให้คิดแรงลมด้วย คิดค่าแรงลมอย่างน้อย 50 กก./ตร.ม. หรือตามสภาพแวดล้อม
คิดแรงดันน้ำกระทำกับกำแพงไหม?
เหตุผลที่ไม่ควรนำดินเหนียวมาเป็นวัสดุถมหลังกำแพง?
- การบดอัดดินเหนียวทำได้ยาก
- เมื่อการบดอัดที่สมบูรณ์ทำได้ยาก ก็ทำให้มีแนวโน้มจะเกิดโพรงปริมาณมากในเนื้อดิน ทำให้เกิดการทรุดตัวมากในภายหลัง
- ดินเหนียวบางชนิดมีการเปลี่ยนแปลงปริมาตรสูง เมื่อแห้งก็จะหดตัวจนเกิดรอยแตกกว้างที่ผิวดิน เมื่ออิ่มตัวด้วยน้ำก็จะพองตัว