วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Wind Load

 Wind Load

     การคำนวณแรงลมที่กระทำต่อโครงสร้าง เป็นหนึ่งในเรื่องที่มีความสลับซับซ้อนในการคำนวณ มีหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจ ตั้งแต่ธรรมชาติของกระเเสลม  สภาพพื้นที่ที่ลมพัดผ่าน คุณสมบัติการต้านลมของโครงสร้าง  แรงลมที่กระทำบนผิวโครงสร้างในส่วนต่างๆ มีทั้งส่วนที่เป็นบวกและลบ

มาตรฐานแรงลม

     การคำนวณแรงลมสำหรับอาคารโดยทั่วไปมักอ้างอิงค่าแรงลมตาม กฎกระทรวงฉบับที่ 6 หรือข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมอาคาร  ซึ่งให้ค่าแรงลมออกแบบไว้ดังนี้ 


     ค่าแรงลมตามกฎหมาย เป็นค่าขั้นต่ำที่ผู้ออกแบบต้องทำตาม  ใช้ได้กับอาคารทั่วไป  มีบางโครงการเท่านั้นที่อาจมีข้อกำหนดพิเศษ ให้คำนวณแรงลมโดยละเอียด  ซึ่งต้องไปดูมาตรฐานการคำนวณแรงลมที่ละเอียดขึ้น ในประเทศไทยมีมาตรฐาน มยผ.1311 เป็นมาตรฐานวิธีคำนวณแรงลมโดยเฉพาะ   หรือจะอ้างอิงมาตรฐานต่างประเทศเช่น ASCE7 หรือ Eurocode ก็ได้เช่นกัน  สำหรับการออกแบบงานสะพานจะอ้างอิงมาตรฐาน AASHTO  ซึ่งแต่ละมาตรฐานมีวิธีการคำนวณในทำนองเดียวกัน

ความเร็วลมออกแบบ ฺBasic Wind Speed

     โดยธรรมชาติความเร็วลมจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่  ไม่คงที่ตามห้วงเวลา แปรเปลี่ยนตามระดับความสูง ในการคำนวณจะใช้ค่าความเร็วลมเฉลี่ยเป็นค่าตั้งต้นในการออกแบบ   ข้อมูลความเร็วลมในพื้นที่เปิดโล่งที่ระดับความสูง 10 เมตร จะถูกนำมาหาค่าเฉลี่ย ในสมัยก่อนนิยมใช้ค่าความเร็วลมเฉลี่ยสูงสุดในระยะทาง 1 ไมล์ (Fastest-mile wind speed) แต่ใน code ออกแบบสมัยใหม่เกือบทั้งหมด ปรับมาใช้ค่าความเร็วลมกรรโชกเฉลี่ยในคาบ 3 วินาที (3-second gust wind speed) เป็นค่าความเร็วลมในการคำนวณ  ส่วนมาตรฐาน มยผ.1311 ใช้ค่าความเร็วลมเฉลี่ยในคาบ 1 ชั่วโมง 

พื้นฐานการคำนวณแรงลมโดยละเอียด

     เมื่อต้องคำนวณแรงลมโดยวิธีละเอียด ไม่ว่าจะใช้ code ใดก็ตาม จะมีปัจจัยพื้นฐานหลัก คล้ายๆกัน ดังต่อไปนี้

     1. ความเร็วพื้นฐานของกระแสลม  - code ออกแบบสมัยใหม่ใช้ 3-second gust wind speed  ต้องพิจารณาข้อมูลแรงลมที่เรามีอยู่ ถ้าไม่ใช่ค่า 3-second gust wind speed ก็ต้องแปลงค่าความเร็วลมเสียก่อน จึงจะ follow การคำนวณแรงลมตาม code นั้นได้  อย่างในประเทศไทยใช้มาตรฐาน มยผ.1311 ซึ่งใช้ค่าความเร็วลมเฉลี่ยใน 1 ชั่วโมง  ก็ต้องคูณด้วยค่าปรับแก้เพื่อให้เป็น 3-second gust wind speed  จึงจะไปคำนวณ follow ตาม code อย่าง ASCE7-16 หรือ AASHTO  ฉบับล่าสุดได้  รูปด้านล่างใช้แปลงค่าความเร็วลมเฉลี่ย แกนตั้งเป็นอัตราส่วนระหว่างความเร็วที่สนใจกับความเร็วเฉลีย 1 ชั่วโมง (3600 วินาที) จากกราฟที่ gust duration 3 วินาทีในแกนนอน จะตัดเส้นกราฟที่ค่า 1.52 ในแกนตั้ง ก็จะได้ค่าปรับแก้ความเร็วลมเฉลี่ย จากต่อชั่วโมงเป็นต่อ 3 วินาที




     2. Topographic Factor  - สภาพพื้นที่แวดล้อมที่ลมพัดผ่าน  เมื่อลมพัดผ่านภูมิประเทศแบบต่างๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงความเร็วของกระแสลม  

     3. การกระจายความเร็วลมตามระดับความสูงจากพื้นดิน - ที่ระดับต่ำลมจะสูญเสียความเร็วเนื่องจากการปะทะกับสิ่งกีดขวางต่างๆ ส่วนที่ระดับสูงขึ้นไปกระแสลมจะมีความเร็วสูงขึ้น

     4. การเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของมวลอากาศ  - มวลอาการที่ระดับน้ำทะเลปานกลางมีค่า 1.225 kg/cu.m. ที่ระดับสูงขึ้นไปมวลอากาศจะเบาบางลงเรื่อยๆ  แต่ปัจจัยนี้ไม่จำเป็นต้องปรับแก้ก็ได้ เพราะใช้ค่ามวลที่มีค่ามากที่สุดถือว่าการคำนวณมีความปลอดภัย  บางมาตรฐานก็ไม่ได้อ้างถึงปัจจัยนี้ 

     5. Gust Factor - ลักษณะโครงสร้างที่รับลม ขนาดกว้าง ยาว ความแข็งอ่อนของโครงสร้าง มีผลกระทบต่อการเพิ่มค่าความแรงของแรงลมที่กระทำต่อโครงสร้าง  โครงสร้างที่มีลักษณะ flexible จะทำให้เกิดกระแสลมปั่นป่วนมาก โครงสร้างที่ค่าความถี่ธรรมชาติต่ำกว่า 1 Hz จัดเป็นโครงสร้างประเภท flexible ส่วนโครงสร้างที่มีความถี่ธรรมชาติตั้งแต่ 1 Hz ขึ้นไป จัดเป็นประเภท Rigid  

     6. Drag coefficient หรือ Pressure Coefficient - ส่วนนี้จะเป็นตัวกำหนดแรงบนพื้นที่รับลมในส่วนต่างๆของโครงสร้าง ใช้ค่าตามที่มาตรฐานนั้นๆกำหนดไว้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น